- Supitcha Kamonpakorn
วิตามิน D3 K2 กินด้วยกัน ดีอย่างไร?
วิตามิน D3 และ K2 กินด้วยกัน ช่วยลดความเสี่ยงของการสะสมแคลเซียมส่วนเกินในร่างกาย
เป็นที่ทราบกันดีว่าแคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับเสริมสร้างให้กระดูกแข็งแรง ช่วยเพิ่มความสูงในวัยเด็กและช่วยส่งเสริมความสูงให้เด็กๆ เติบโตมีส่วนสูงสมวัยเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ ด้วยเหตุนี้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทแคลเซียมจึงได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มคนทั่วไปอย่างต่อเนื่อง
แต่!! คุณรู้หรือไม่ว่า การได้รับแคลเซียมมากเกินไปอาจส่งผลให้เกิดการสะสมหินปูนในหลอดเลือดได้!?
อย่างไรก็ตาม อย่ากังวลกับเรื่องนี้มากเกินไป เพราะปัญหานี้สามารถป้องกันได้โดยการกินวิตามิน D3 และ K2 พร้อมกัน การทานวิตามินสองชนิดนี้พร้อมกันไม่เพียงแต่มีส่วนสำคัญในส่งเสริมกระดูกที่แข็งแรงแต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของการสะสมของแคลเซียมในร่างกายจนเป็นหินปูนได้อีกด้วย

รูปแบบของวิตามินดีที่รู้จักกันดี ได้แก่ D1, D2 และ D3 โดยวิตามิน D1 และ D3 (cholecalciferol) จะพบได้ในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น ปลา นม และไข่ ในทางตรงข้าม วิตามิน D2 (ergocalciferol) มักพบในผลิตภัณฑ์จากพืช เช่น เห็ดและสาหร่าย
วิตามิน D3 และ K2 ไม่เพียงแต่ช่วยส่งเสริมความแข็งแรงของกระดูกแต่ยังป้องกันการสะสมของแคลเซียมส่วนเกินในร่างกายได้อีกด้วย
วิตามินดี ได้รับจากแดดจริงหรือ?
เริ่มต้นจากตับและไตทำหน้าที่เปลี่ยนวิตามินดีให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมทำงานได้ นั่นคือ รูปแบบ 1,25(OH)2 หรือที่เรียกว่า วิตามิน D3 ดังนั้นกิจกรรมกลางแจ้งที่สัมผัสกับแสงแดดจึงสำคัญต่อความแข็งแรงของกระดูกเนื่องจากช่วยกระตุ้นให้โคเลสเตอรอลใต้ผิวหนังเปลี่ยนเป็นวิตามิน D3 และวิตามิน D2 มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าคนที่หลีกเลี่ยงแสงแดดอยู่เสมออาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดวิตามินดีเพิ่มขึ้น และเนื่องจากวิตามินดีช่วยเพิ่มการดูดซึมของแคลเซียมโดยจับกับตัวรับในลำไส้ วิตามิน D3 เป็นรูปแบบที่ร่างกายพร้อมดูดซึมและนำไปใช้ได้ทันที
วิตามินเค มีประโยชน์อย่างไร?
วิตามินเคช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงและส่งเสริมการทำงานของหัวใจ ลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว ซึ่งภาวะนี้หลอดเลือดแดงจะตีบแคบลงทำให้การไหลเวียนของโลหิตไปเลี้ยงยังส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่เพียงพอ
วิตามินเคเกี่ยวข้องกับกระดูก อย่างไร
โดยทั่วไปแล้ว วิตามิน K มีอยู่ 2 ชนิดคือ K1 และ K2 มีส่วนช่วยในการสังเคราะห์โปรทรอมบินซึ่งเป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการแข็งตัวของเลือดและเมตาบอลิซึมของกระดูก โดยวิตามิน K1 หรือฟิลโลควิโนนพบได้ในผักใบเขียว
แต่ในทางตรงข้าม วิตามิน K2 หรือเมนาควิโนน ที่พบได้ในอาหารหมักดอง เช่น นัตโตะ วิตามิน K2 เป็นรูปแบบที่พร้อมดูดซึมและใช้งานได้ทันทีและช่วยให้แคลเซียมสามารถดูดซีมเข้าสู่กระดูกได้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะหลอดเลือดอุดตันจากการสะสมของแคลเซียมและที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ มีงานวิจัยที่พบว่าการรับประทานทานวิตามิน K2 ร่วมกับวิตามิน D3 จะช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างกระดูกซึ่งสำคัญต่อการเพิ่มมวลกระดูกได้เป็นอย่างดี

กินวิตามิน D3 ร่วมกับวิตามิน K2 ได้ผลลัพท์ที่ดียิ่งขึ้น!!
การทำงานร่วมกันระหว่างวิตามิน D3 กับ วิตามิน K2 ช่วยบำรุงหัวใจ กล้ามเนื้อ กระดูกและระบบภูมิคุ้มกันเนื่องจากเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระดูกและกระตุ้นการผลิตโปรตีนที่จับกับแคลเซียมที่ชื่อว่าออสซีโอแคลซิน (osteocalcin) ดังนั้นวิตามินทั้งสองนี้จึงช่วยเสริมสร้างความหนาแน่นของมวลกระดูกรวมไปถึงส่งเสริมความแข็งแรงของกระดูกไม่ให้เปราะแตกง่าย
อย่างไรก็ตาม การได้รับแคลเซียมที่มากเกินไปอาจสะสมในหลอดเลือดและไตซึ่งนำไปสู่ภาวะโรคหลอดเลือดตีบและนิ่วในไตได้ มีงานวิจัยรายงานว่าการทานวิตามิน D3 ร่วมกับ K2 ช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้เนื่องจากจะนำแคลเซียมส่วนเกินในเลือดดูดซึมกลับเข้าไปในกระดูกจึงช่วยลดการสะสมแคลเซียมในหลอดเลือดและลดการขับออกทางไต
นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังรายงานว่าวิตามิน D3 และ K2 สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ T เซลล์ ในระบบภูมิคุ้มกันจึงช่วยให้สามารถการป้องกันการติดเชื้อได้ดีขึ้น ดังนั้นการทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีวิตามิน D3 และ K2 อย่างต่อเนื่องจะช่วยลดความเสี่ยงของอาการเจ็บป่วยรุนแรงได้ เช่น ป้องกันการเกิดภาวะ long-COVID ได้
บทสรุป
เด็กวัยเจริญเติบโตควรได้รับวิตามินดีและวิตามินเคในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระดูกและเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ซึ่งช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายเรื่องความสูงในวัยผู้ใหญ่
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับเด็กวัยกำลังเจริญเติบโตที่แนะนำโดยทีมแพทย์ของเราคือ Jelly CARE GRO+ ส่งเสริมความสูงสมวัยและยังช่วยบำรุงสมองอีกด้วย
Jelly CARE GRO+ มีวิตามิน D3 ปริมาณ 200IU ซึ่งเทียบเท่ากับไข่ 4 ฟองครึ่ง และวิตามิน K2 0.0025 มก. ซึ่งเทียบเท่ากับบรอกโคลีจานใหญ่ ช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูกและลดความเสี่ยงของการได้รับแคลเซียมที่มากเกินไปจนทำให้เกิดการสะสมเป็นหินปูนได้
References
1.Schilling, R. (2013). Calcium, Vitamin D3 and Vitamin K2 Are Needed For Bone Health.
2. Goddek, S. (2020). Vitamin D3 and K2 and their potential contribution to reducing the COVID-19 mortality rate. International Journal of Infectious Diseases, 99, 286-290.
3. El Borolossy, R., & El-Farsy, M. S. (2021). The impact of vitamin K2 and native vitamin D supplementation on vascular calcification in pediatric patients on regular hemodialysis. A randomized controlled trial. European Journal of Clinical Nutrition, 1-7.
4. Huey, S. L., Acharya, N., Silver, A., Sheni, R., Elaine, A. Y., Peña-Rosas, J. P., & Mehta, S. (2020). Effects of oral vitamin D supplementation on linear growth and other health outcomes among children under five years of age. Cochrane Database of Systematic Reviews, (12).
5. Ahmed, L. H., Butler, A. E., Dargham, S. R., Latif, A., Chidiac, O. M., Atkin, S. L., & Abi Khalil, C. (2020). Vitamin D3 metabolite ratio as an indicator of vitamin D status and its association with diabetes complications. BMC endocrine disorders, 20(1), 1-8.
6. Lanham-New, S. A. (2008). Importance of calcium, vitamin D and vitamin K for osteoporosis prevention and treatment: symposium on ‘diet and bone health’. Proceedings of the Nutrition Society, 67(2), 163-176.
DiNicolantonio, J. J., Bhutani, J., & O'Keefe, J. H. (2015). The health benefits of vitamin K. Open heart, 2(1), e000300.
7. Koshihara, Y., Hoshi, K., Ishibashi, H., & Shiraki, M. (1996). Vitamin K2 promotes 1α, 25 (OH) 2 vitamin D3-induced mineralization in human periosteal osteoblasts. Calcified tissue international, 59(6), 466-473.